นวัตกรรมที่ช่วยในโรคนอนไม่หลับ
นวัตกรรมที่ช่วยในโรคนอนไม่หลับ
โรคนอนไม่หลับเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย เป็นได้ตั้งแต่ วัยรุ่น วัยทำงาน วัยสูงอายุ สาเหตุของโรคนอนไม่หลับนั้นหลากหลาย รวมถึงปัจจัยทางกายภาพ จิตใจ และพฤติกรรม ปัจจัยที่มีส่วนร่วมในการเกิดโรค เช่น ความเครียด, ความวิตกกังวล, โรคซึมเศร้า ฯลฯ โดยผู้ป่วยที่มีปัญหาในการนอนหลับ สามารถเกิดได้ในรูปแบบต่างๆ
เช่น การนอนไม่หลับตั้งแต่แรก การตื่นกลางดึกแล้วไม่สามารถกลับไปหลับได้ หรือการตื่นเช้ากว่าที่ต้องการและไม่สามารถกลับไปนอนหลับได้อีก ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้เป็นช่วงๆ หรือเป็นระยะยาว ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก
การรักษาโรคนอนไม่หลับสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ โดยมีวิธีการรักษาหลัก ๆ ดังนี้
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน
- การสร้างสิ่งแวดล้อมการนอนที่ดี
- การฝึกสมาธิและการหายใจ
- การรักษาด้วยยา
- การบำบัดพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia, CBT-I)
ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ได้มีการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในการรักษาโรคนอนไม่หลับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งลดระยะเวลาการรักษา และผลข้างเคียงจากการใช้ยาในระยะยาว เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมที่นำมาใช้และมีงานวิจัยหลายงานรองรับนั้นคือเครื่องแม่เหล็กกระตุ้นศีรษะ(Transcranial magnetic stimulation, TMS)
TMS ส่งผลต่อการทำงานของสมอง ให้มีการปล่อยสารสื่อประสาท (neurotransmitters) เช่น เซโรโทนิน (serotonin) และกรดแกมมาอะมิโนบิวทีริก (GABA) ซึ่งสารสื่อประสาทเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการนอนหลับ และเกิดการปรับเปลี่ยนในการเชื่อมโยงของวงจรประสาท (synaptic plasticity) ทำให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการควบคุมการนอนหลับ
อีกทั้งเครื่อง TMS ยังช่วยลดระดับความวิตกกังวลและความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับ และยังปรับการทำงานของวงจรประสาทที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นและมีคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น
พื้นที่ของสมองที่มักใช้ในการรักษาโรคนอนไม่หลับคือ dorsolateral prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมการทำงานของสมองในด้านการจัดการกับความเครียดและการควบคุมอารมณ์ และอาจมีบริเวณอื่นที่กระตุ้นร่วมด้วย เช่น primary motor cortex ทั้งนี้ตำแหน่งและโปรโตคอลที่ใช้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้รักษาว่าจะใช้วิธีการกระตุ้นอย่างไรที่สอดคล้องกับงานวิจัย และให้ผลที่มีประสิทธิภาพกับผู้ป่วยสูงสุด
การรักษาโรคนอนไม่หลับโดยอาศัยเครื่อง TMS ในการกระตุ้นเซลล์ประสาท ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนในวงจรประสาทและการปล่อยสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ การปรับเปลี่ยนนี้ทำให้สมองมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการควบคุมการนอนหลับและลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น การรักษาควรทำอย่างต่อเนื่องและได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด
เครื่องมือที่ใช้ในการรักษา
เครื่อง TMS (Transcranial Magnetic Stimulation)
อ้างอิง
1. Lefaucheur, J.-P., André-Obadia, N., Antal, A., Ayache, S. S., Baeken, C., Benninger, D. H., & Paulus, W. (2014). Evidence-based guidelines on the therapeutic use of repetitive transcranial magnetic stimulation (rTMS). Clinical Neurophysiology, 125(11), 2150-2206.
2. Pascual-Leone, A., Walsh, V., & Rothwell, J. (2000). Transcranial magnetic stimulation in cognitive neuroscience virtual lesion, chronometry, and functional connectivity. Current Opinion in Neurobiology, 10(2), 232-237.
3. Schulze, L., Wheeler, S., McMahon, K., Finnegan, M., Brock, R. L., & Cunnington, R. (2018). Transcranial magnetic stimulation as a treatment for depression and other disorders. Neuroscience & Biobehavioral Reviews, 84, 34-53.
4. He, Y., Sun, N., Wang, Z., & Zou, W. (2019). Effect of repetitive transcranial magnetic stimulation (rTMS) for insomnia: A protocol for a systematic review. Journal of Sleep Research, 28(3), 123-134.
5. Tikka, S. K., Siddiqui, M. A., Garg, S., Pattojoshi, A., & Gautam, M. (2023). Clinical practice guidelines for the therapeutic use of repetitive transcranial magnetic stimulation in neuropsychiatric disorders. Indian Journal of Psychiatry, 65(2), 270-288.