ต้นกำเนิดการรักษาด้วย TMS
การกระตุ้นศีรษะด้วยคลื่นแม่เหล็ก (Transcranial Magnetics Stimulation : TMS)
เริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 ได้มีการผลิตเครื่อง TMS ขึ้นมาครั้งแรก โดยเครื่องต้นแบบนั้นตัวแม่เหล็กจะมีลักษณะเป็นวงแหวนขนาดใหญ่ที่จะปล่อยคลื่นออกมาเป็นจังหวะ เรียกว่า Pulse Electromagnetic Field คลื่นที่ออกมาจะเป็นจังหวะไม่ต่อเนื่อง
เป็นคลื่นแม่เหล็กที่ผ่านกระบวนการทางไฟฟ้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดบริเวณหัว coil ของเครื่อง โดยใช้หลักการกฏการเหนี่ยวนำของฟาราเดย์จนเกิดคลื่นออกมาแต่เป็นความแรงคลื่นที่ต่ำ ทำให้ใช้เวลาในการรักษานานมาก ส่งผลต่อผลลัพธ์การรักษาที่ไม่ชัดเจนมากนัก จากที่กล่าวมาข้างต้นนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือให้มีความแรงที่สูงขึ้น ใช้เวลาน้อยลงและเห็นผลลัพธ์การรักษาอย่างชัดเจน
ในปี ค.ศ. 2008 TMS ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Food and Drug Administration) หรือเรียกว่า FDA เริ่มแรกได้มีการนำ TMS มาใช้ทำการรักษากลุ่มผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในผู้ใหญ่มาก่อน ซึ่งใช้การรักษาในกลุ่มคนไข้โรคซึมเศร้าที่มีอาการดื้อยาหรือมีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต่ำ จากผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่รักษาด้วย TMS มีการตอบสนองมากถึง 27% ในขณะที่กลุ่มที่รักษาด้วยยานั้นมีการตอบสนองเพียงแค่ 21% เท่านั้น ต่อมามีการพัฒนาการรักษาด้วย TMS มาเรื่อย ๆ จนทำให้ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษานี้ได้ผลมากถึง 70% - 80% บางรายไม่มีอาการเป็นระยะเวลานานหรือมีโอกาสหายขาดจากโรคเลย
หลังจากนั้นภายในปี ค.ศ. 2010 ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการนำ TMS มาทำการรักษาในเด็กกลุ่มโรคออทิสติก และปี ค.ศ. 2013 ประเทศจีน มณฑลเสฉวน โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ศาสตราจารย์ Zheng Zhong ได้นำ TMS มาใช้รักษาเด็กในกลุ่มโรคออทิสติกเช่นกัน เนื่องจากประเทศจีนมีจำนวนเด็กออทิสติกมากที่สุดในโลก
สถาบันสหภาพสากล (International Federation of Clinical Neurophysiology : IFCN) หรือกลุ่มที่รวบรวมงานวิจัย เรียกว่า European Expert ได้มีการจัดประชุมร่วมกันหลายประเทศเพื่อรวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ สามารถรวบรวมข้อมูลย้อนหลังไปจนถึงปี ค.ศ. 2014 และมีข้อสรุปครั้งแรกของโลกว่า เครื่องกระตุ้นศีรษะด้วยคลื่นแม่เหล็กมีแนวทางการรักษาโรคต่าง ๆ เป็นมาตรฐานไปในทิศทางเดียวกัน ออกมาเป็นฉบับแรกและมีการทบทวนฉบับที่ 2 ตอนปี ค.ศ. 2018 เนื่องจากมีงานวิจัยเกี่ยวกับ TMS ที่เพิ่มมากขึ้นมากมาย